เมนู

9. ชานุสโสณีสูตร



ว่าด้วยวิชชา 3 ของพราหมณ์และพุทธะ



[499] ครั้งนั้นแล ชานุสโสณีพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ผู้ใดมียัญสิ่งที่พึงให้ด้วยศรัทธา อาหารที่จะพึงให้แก่คนอื่น หรือไทยธรรม
ผู้นั้นควรให้ทานในพราหมณ์ผู้ได้วิชชา 3 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ก็พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติพราหมณ์ว่าได้วิชชา 3 อย่างไร.
ชา. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พราหมณ์ในโลกนี้ เป็นอุภโตสุชาต
ทั้งข้างฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ สะอาดดีตลอด 7
ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ เป็นผู้เล่าเรียน
ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกฏุภะ พร้อมทั้ง
ประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์
ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะและตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ ข้าแต่พระโคดม-
ผู้เจริญ ก็พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติพราหมณ์ว่าได้วิชชา 3 อย่างนี้แล.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติพราหมณ์ว่าได้
วิชชา 3 อย่างหนึ่ง ก็แหละผู้ได้วิชชา 3 ในอริยวินัยเป็นอย่างหนึ่ง.
ชา. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ผู้ได้วิชชา 3 ในอริยวินัย ย่อมมี
อย่างไร ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์โปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้า
พระองค์ตามที่ผู้ได้วิชชา 3 มีในอริยวินัย.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ ถ้ากระนั้นจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ชานุสโสณีพราหมณ์ทูลรับพนระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้

ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุ
จตุตถฌานอยู่ ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อม
โน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อน ๆ ได้
เป็นอันมาก ฯลฯ วิชชาข้อแรกเป็นอันเธอได้บรรลุแล้ว ดังนี้ อวิชชาสูญไป
วิชชาเกิดขึ้น ความมืดสูญไป แสงสว่างเกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับของภิกษุผู้
ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น.
ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุป
กิเลส อ่อน ควรแก่การงาน มั่นคงไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป
เพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ ฯลฯ ด้วยทิพยจักษุ
อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ วิชชาข้อที่สองย่อมเป็นอันเธอได้บรรลุแล้ว
ดังนี้ อวิชชาสูญไป วิชชาเกิดขึ้นความมืดสูญไป แสงสว่างเกิดขึ้น เช่นเดียวกัน
กับของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น.
ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจาก
อุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป
เพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคา-
มินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเธอ
รู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้กามาสวะ. แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหม-
จรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
วิชชาข้อที่สาม ย่อมเป็นอันเธอได้บรรลุแล้ว ดังนี้ อวิชชาสูญไป วิชชาเกิดขึ้น
ความมืดสูญไป แสงสว่างเกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับของที่ภิกษุผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น.

ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีลวัตร ส่งตนไป
แล้ว มีจิตเป็นสมาธิ ผู้ใดมีจิตมีความชำ-
นาญ เป็นเอกัคคตา ตั้งมั่นดีแล้ว ผู้ใดตรัสรู้
ปุพเพนิวาสญาณ เห็นสวรรค์และอบาย
บรรลุถึงธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งชาติเป็นมุนี
ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เพราะรู้ด้วยปัญญา
อันยิ่ง และเป็นพราหมณ์ผู้ได้วิชชา 3
เราย่อมกล่าวผู้เช่นนั้นว่า ผู้ได้วิชชา 3
หากล่าวตามคำที่พูดกันอย่างอื่นไม่.

ดูก่อนพราหมณ์ ผู้ได้วิชชา 3 ในอริยวินัยเป็นอย่างนี้แล.
ชา. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ผู้ได้วิชชา 3 ของพวกพราหมณ์เป็น
อย่างหนึ่ง ก็แหละผู้ได้วิชชา 3 ในอริยวินัยเป็นอย่างหนึ่ง ข้าแต่พระโคดม
ผู้เจริญ ผู้ได้วิชชา 3 ของพวกพราหมณ์ไม่ถึงส่วนที่ 16 ซึ่งจำแนกเป็น 16
ครั้ง ของผู้ได้วิชชา 3 ในอริยวินัยนี้ ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯสฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็น
อุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบชานุโสณีสูตรที่ 9

อรรถกถาชานุสโสณีสูตร



พึงทราบวินิจฉัยใน ชานุสโสณีสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า ยสฺสสฺสุ เท่ากับ ยสฺส ภเวยฺยุํ (ของผู้ใดพึงมี). ในบทว่า
ยญฺโญ เป็นต้น มีอธิบายว่า ไทยธรรมชื่อว่ายัญ เพราะต้องบูชา. คำว่า
ยัญนี้เป็นชื่อของไทยธรรม. บทว่า สทฺธํ ได้แก่ภัตตาหารที่อุทิศเพื่อผู้ตาย.
บทว่า ถาลิปาโก ได้แก่ ภัตตาหารที่จะพึงให้แก่บริษัทอื่น. ขึ้นชื่อว่า
ไทยธรรมทุกอย่าง ที่เหลือจากที่กล่าวแล้ว ชื่อว่า ไทยธรรม.
บทว่า เตวิชฺเชสุ พฺราหฺมเณสุ ทานํ ทเทยฺย ความว่า
ทานทั้งหมดนี้ ควรให้ในผู้มีวิชชา 3. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่าพราหมณ์
ผู้มีวิชชา 3 เท่านั้น ควรได้รับ (ทาน). บทที่เหลือในพระสูตรนี้ มีนัยดังกล่าว
แล้วในหนหลัง.
จบอรรถกถาชานุสโสณีสูตรที่ 9

10. สังคารวสูตร



ว่าด้วยบุญปฏิปทาที่มีผลมาก



[500] ครั้งนั้นแล สังคารวพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้
ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ชื่อว่าพราหมณ์ ย่อมบูชายัญเองบ้าง
ให้คนอื่นบูชาบ้าง ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในบรรดาบุคคลเหล่านั้น ผู้ที่บูชา